ReadyPlanet.com


นโยบายรํฐ


 

รัฐบาลโคลนนิ่ง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ประกาศยกเลิกเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันสำหรับน้ำมันดีเซล เบนซิน 95 และเบนซิน 91 ชั่วคราว ทำให้ราคาน้ำมันดีเซล ลดลง 3 บาทต่อลิตร จากลิตรละ 29.99 บาท เหลือ 26.99 บาท น้ำมันเบนซิน 95 ลดลง8.02 บาทต่อลิตร จากลิตรละ 47.43 บาทต่อลิตร เหลือ 39.32 บาท น้ำมันเบนซิน 91 ลดลง 7.50 บาทต่อลิตร จากลิตรละ 41.94 บาท เหลือ 34.77 บาท
       
       รัฐไม่มีทางเลือก ถึงแม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าการลดราคาแบบช๊อกตลาดครั้งนี้จะส่งผลกระทบอะไรบ้าง เพราะหากไม่ทำข้อกล่าวหาที่ว่าดีแต่โม้จะรุนแรงยิ่งขึ้น หลังจากที่นโยบายขึ้นค่าแรงขึ้นต่ำ 300 บาทต่อวันทันที ปรับเงินเดือนเริ่มต้นผู้จบปริญญาตรี เป็นเดือนละ 15,000 บาททันที ถูกบิดพลิ้ว เล่นสำนวนจากค่าแรงขั้นต่ำกลายเป็นรายได้ขั้นต่ำ จากที่เคยสัญญว่าจะขึ้นให้ผู้ใช้แรงงานทุกคนทั่วประเทศ กลายเป็นสัญญาแบบมีดอกจันมีข้อแม้วว่าต้องเป็นแรงงานมีฝีมือ ในบางพื้นที่ และไม่มีกำหนดว่าจะขึ้นเมื่อไร กลายเป็นเรื่องแหกตาที่รัฐบาลได้แต่หวังว่า กาลเวลา และการบริหารจัดการสื่อจะช่วยลบคำสัญญาแบบมีดอกจันนี้ให้จางหายไปจากความรับรู้ของประชาชนได้
       
       โกหกเรื่องค่าแรงขั้นต่ำไปแล้ว หากยังหลอกลวงเรื่องราคาน้ำมันอีก ให้กำกับดูแลสื่อดีแค่ไหนคงไม่อาจยับยั้งกระแสความไม่ขอใจของประชาชนได้แน่ การลดราคาน้ำมันจึงเป็นเรื่องที่ต้องทำทันที โดยไม่ต้องสนใจว่าผลที่เกิดขึ้นคืออะไร ขอให้ประชาชนเห็นว่า อย่างน้อยก็มีสักเรื่องหนึ่งที่รัฐบาลได้ทำตามที่หาเสียงไว้ก็บรรลุเป้าหมายทางการเมืองแล้ว
       
       การลดราคาน้ำมันครั้งนี้แน่นอนว่าประชาชนได้ประโยชน์ แม้จะเป็นประโยชน์ในระยะสั้น เพราะราคาน้ำมันที่ถูกลงลิตรละ 3-8 บาทนี่ เป็นเพราะการงดจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน ไม่ใช่เป็นเพราะราคาน้ำมันในตลาดโลกลดลง หากราคาตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นราคาขายปลีกในบ้านเราก็จะต้องปรับตัวตาม ราคาน้ำมันที่ถูกลงมานี้จึงเป็นเพียงภาวะชั่วคราว
       
       แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นที่รุนแรงมากที่สุดคือ การทำลายนโยบายส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2546 และได้รับการสานต่อเรื่อยมาจนสามารถเพิ่มปริมาณการใช้เชื้อเพลิงที่เป็นพลังงานทดแทน โดยเฉพาะน้ำมันแก๊สโซฮอล์ได้มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง กระทรวงพลังานเองมีการกำหนดแผนส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนฉบับใหม่ระยะเวลา 15 ปี โดยตั้งเป้าให้มีการใช้พลังงานทดแทนร้อยละ 20 เมื่อสิ้นปี 2565
       
       ภายใต้นโยลบายพลังงานทดแทน บริษัทน้ำมันต่างๆ ได้ปรับตัวเปลี่ยนแผนการผลิตและการตลาด เพื่อรองรับการจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล์ เพราะเชื่อมั่นว่ารัฐบาลจะจริงจังกับนโยบายนี้ บางบริษัท เช่น บางจาก ซึ่งมีปั๊มน้ำมันทั่วประเทศ 600 แห่ง ไม่ขายน้ำมันเบนซิน ขายแต่แก๊สโซฮอล์อย่างเดียว บริษัทเชลล์ ลดการจำหน่ายน้ำมันเบนซิน โดยเฉพาะเบนซิน 91 ลง เพิ่มหัวจ่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล์ โดยมีแรงจูงใจที่สำคัญคือ ราคา ทำให้จำนวนผู้ใช้แก๊สโซฮอล์ในปัจจุบันมีมากกว่าผู้ใช้น้ำมันเบนซินในสัดส่วน 70 ต่อ 30 เปอร์เซ็นต์
       
       ดังนั้น เมื่อรัฐบาลลดราคาน้ำมันเบนซินโดยการงดเก็นเงินเข้ากองทุนน้ำมัน ทำให้ราคาน้ำมันเบนซินกับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ในปัจจุบันไม่ต่างกันมาก โดยเฉพาะเบนซิน 91 ซึ่งยังใช้กันมาก สูงกว่าแก๊สโซฮอล์ 91 ลิตรละ 29 สตางค์เท่านั้น จึงเป็นการฆ่านโยบายพลังงานทดแทนที่รัฐบาลชุดก่อนๆ สานต่อมาเกือบ10 ปี ให้ต่ายไปอย่างเงียบๆ เพราะผู้บริโภคจะเปลี่ยนพฤติกรรมหันมาใช้น้ำมันเบนซินแทนแก๊สโซฮอล์ เพราะราคาแทบจะไม่ต่างกันเลย เมื่อหักลบกับอัตราการสิ้นเปลืองเมื่อใช้แก๊สโซฮอล์ ซึ่งสิ้นเปลื่องมากกว่าเบนซินราวๆ 5 เปอร์เซนต์
       
       นอกจากบริษัทน้ำมันที่เหมือนถูกหักหลังจากนโยบายพลังงานของรัฐบาลแล้ว ยังมีธุรกิจเอทานอลที่ต้องตกเป็นเครื่องสังเวยคะแนนนิยมของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ด้วย ปัจจุบันมีผู้ผลิตเอทานอลรวม 19 ราย มีกำลังการผลิตรวม 2.95 ล้านลิตรต่อวัน ผลิตจริงเพียง 1.4 ล้านลิตรต่อวัน โดยเป็นระกับการผลิตที่เพียงพอต่อความต้องการภายในประเทศที่มีประมาณวันละ 1.8 ล้านลิตร
       
       ผู้ผลิตเอทานอลเหล่านั้นลงทุนเพราะมั่นในใจนโยบายส่งเสริมพลังงานทดแทนของรัฐบาล การเกิดขึ้นของอุตสาหกรรมของเอทานอลมีส่วนยกระดับราคาอ้อย และมันสำปะหลังให้สูงขึ้น เพราะถูกใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตเอทานอล เมื่อนโยบายพลังงานทดแทนถูกฉีกทิ้ง ผู้ที่อยู่ในห่วงโซ่การผลิต ทั้งที่เป็นกลุ่มทุนอย่างโรงงานเอทานอล และเกษตรกรชาวไร่อ้อย ไร่มัน ก็ต้องได้รับความเดือนดร้อนไปทั่ว
       
       รัฐมนตรีกระทรวงพลังงานนายพิชัย นริพทะพันธุ์ จะยืนยันว่าการงดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันนี้จะทำเพียงชั่วคราว 1 ปี แต่กระบวนการผลิต การลงทุน การจัดการของปั๊มน้ำมัน โรงงานเอทานอล แม้แต่ไร่อ้อย และมันสำปะหลัง ต้องมีความต่อเนื่อง และสม่ำเสมอ ไม่สามารถเปลี่ยนกลับไปกลับมาเหมือนนโยบายที่พรรคเพื่อไทยใช้หาเสียงได้ นายพิชัยเองเป็นถึงรัฐมนตรีกระทนรวงพลังงาน ยังบอกไม่ได้ว่า ที่ว่าชั่วคราวนั้นจะเป็นกี่เดือนก็ยังไม่รู้ แล้วจะให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบว่างแผนรับมืออย่างไร
       
       คำพูดของนายพิชัยที่ว่า ขอให้ประชาชนช่วยกันใช้แก๊สโซฮอล์เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบกับเกษตรกรนั้นก็เป็นการยอมรับอยู่ในตัวว่า การลดราคาน้ำมันเบนซินครั้งนี้ ผลที่จะตามมาคืออะไร และเป็นคำพูดที่ขัดแย้งกับการกระทำของตัวเอง เพราะถ้าจะให้ประชาชนใช้แก๊สโซฮอล์แล้วจะลดราคาน้ำมันเบนซินทำไม ถ้าอ้างว่าลดราคาน้ำมันเพื่อช่วยเหลือประชาชนที่เดือดร้อนจากภาวะค่าครองชีพ แล้วะจะเรียกร้องให้ประชาชนช่วยกันใช้แก๊สโซฮอล์ทำไม
       
       มาตรการลดราคาน้ำมัน โดยการงดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเป็นผลงานชิ้นแรกของรัฐบาลโคลนนิ่งที่ทำทันที แต่เมื่อทำแล้วก็ส่งผลให้อุตสาหกรรมพลังงานทดแทนพังทันทีเหมือนกัน เช่นเดียวกับนโยบายหาเสียงอื่นที่สัญญาว่าจะ “ทำทันที” หากทำเมื่อไรรับรองว่าพังเมื่อนั้น เพราะไม่ได้ศึกษาความเป็นไปได้ และผลที่จะตามมา เช่น นโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท ที่นับว่าเป็นโชคดีของประเทศไทยที่รัฐบาลโกหกในเรื่องนี้ เช่นเดียวกับนโยบายถมทะเลสร้างเมืองใหม่ ที่ตอนหาเสียงบอกว่าทำทันที เมื่อได้รับเลือกตั้งกลายเป็นขอศึกษาก่อน และถ้ารัฐบาลเริ่มใช้นโยบายจำนำข้าวตันละ 15,000 บาท ทันทีเมื่อไร สิ่งที่จะพังทันทีเหมือนอุตสาหกรรมพลังงานทดแทน คือการส่งออกข้าวของประเทศไทย


ผู้ตั้งกระทู้ รอบตัว :: วันที่ลงประกาศ 2011-08-29 10:31:30


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (1441776)

เออทำเป็นรู้ดีรอดูก่อนซิ ทำไมจะไม่สนับสนุนพลังงานทางเลือก E85 ไงลิตรละ 22 บาทE20ไงถูกด้วยตอนนี้แค่ไม่เก็บเงินกองทุนน้ำมันแต่รู้มั้ยว่าภาษีดีเซล LPG  NGV แก๊สโซฮอลเก็บน้อยกว่าเบนซิน 91 95 อยู่ รัฐบาลเพียงทำให้ราคาใกล้ความเป็นจริง ถ้าเก็บภาษีเท่าๆกันแก๊สโซฮอลจะราคาสูงกว่าเบนซินอีกรู้ไว้ซะ 

ผู้แสดงความคิดเห็น เอาความจริงมาบอก วันที่ตอบ 2011-08-29 14:30:33


ความคิดเห็นที่ 2 (1441801)

 ความเห็นที่ 1  เป็นไรมากป่ะ  ท่าจะประสาท

ผู้แสดงความคิดเห็น . วันที่ตอบ 2011-08-29 17:05:27


ความคิดเห็นที่ 3 (1442419)

คห.1 รอดูก่อนดีกว่ามั๊ย

ผู้แสดงความคิดเห็น ... วันที่ตอบ 2011-08-30 12:00:52


ความคิดเห็นที่ 4 (1442816)

 หลอกลวงประชาชน

ผู้แสดงความคิดเห็น ไปone1 วันที่ตอบ 2011-08-31 01:34:30


ความคิดเห็นที่ 5 (1448357)

ขอบคุณผู้ตั้งกระทู้ที่เอานโยบายหาเสียงของรัฐบาลมาตีแผ่ชัดเจนดี  คนที่คิดเป็น และมีสำนึกต่อส่วนรวมสูง  คงอดหนาวสันหลังไม่ได้กับผลกระทบในระยะยาวของนโยบายชุ่ยๆ แบบนี้  

ล่าสุดมีข่าวแว่วมาว่า หลังจากออกนโยบายประชมนิยมลดแลกแจกแถมกระหน่ำซัมเมอร์เซลส์  ต้องใช้เงินงบประมาณอีกท่วมหัวก็ไม่พอ  รมต.คลัง ให้สัมภาษณ์ว่าอาจต้องขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มเป็น 10%  อันนี้กระทบกับประชาชนคนเดินดินกินข้าวแกงทุกคน  กับภาษีสรรพสามิตของสินค้าบาป(เหล้า, บุหรี่) และต้องกลับมาเก็บภาษีกองทุนน้ำมันของเบนซินกับดีเซลเหมือนเดิม   ฮ่า ฮ่า พร้อมๆ กับสินค้าทุกอย่างเตรียมพาเหรดขึ้นราคากระหึ่ม

สวัสดีคนจนรุ่นใหม่ทุกคน นะค้า  ถูกใจมั้ยค้า ชอบใจมั้ยค้า  เอาอีกมั้ยค้า ขอบคุณทุกคนที่ไว้วางใจปูนะคร้า 

อ่านแล้วอย่ายกมือเกาหัวนะ  เปลี่ยนไปเกาหูแทน   ก้อ  ปูคันหูนี่คร้า

ผู้แสดงความคิดเห็น ปูหูสกปรก วันที่ตอบ 2011-09-29 14:25:35


ความคิดเห็นที่ 6 (3037119)

ขอบคุณความรู้เรื่องน้ำมันเบนซินค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น คันหาง วันที่ตอบ 2016-08-05 10:43:03



[1]


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล



Copyright © 2010 All Rights Reserved.